Last updated: 31 พ.ค. 2566 | 435 จำนวนผู้เข้าชม |
รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV)
รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มเข้ามามีบทบาทสำคัญในยุคปัจจุบัน ทดแทนรถยนต์ที่ขับเคลื่อนโดยใช้แหล่งพลังงานจากการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดมลพิษต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งน้ำมันดิบเป็นเชื้อเพลิงฟอสซิลที่นับวันจะหมดไปเรื่อย ๆ
รถยนต์ไฟฟ้าจะขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าโดยใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานที่อาจเป็นแบตเตอรี่หรือแหล่งพลังงานอื่นโดยไม่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิง ไม่ปล่อยคาร์บอนมอนอกไซด์ ไม่เกิดฝุ่นและเสียงรบกวน ถือว่าเป็นมิตรกับมนุษย์และสิ่งแวดล้อมเพื่อก้าวเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (low carbon society)
อย่างไรก็ตาม รถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันยังมีทั้งแบบอาศัยเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในมาใช้ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าทั้งในส่วนการขับเคลื่อนและผลิตพลังงานไฟฟ้าเก็บสะสมในแบตเตอรี่ หรือเป็นแบบที่ใช้เชื้อเพลิงอื่นอย่างแก๊สไฮโดรเจนมาผลิตพลังงานไฟฟ้าโดยใช้เทคโนโลยีเซลล์เชื้อเพลิงด้วยดังนั้น จึงแบ่งรถยนต์ไฟฟ้าออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1) รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicle: BEV) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100% จากแบตเตอรี่ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้า โดยต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานภายนอก และไม่มีเครื่องยนต์ที่ต้องเผาไหม้เชื้อเพลิงจึงไม่มีการปล่อยไอเสียออกมา
2) รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (Hybrid Electric Vehicle: HEV) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสมประกอบไปด้วยเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนเป็นหลัก ร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมแบตเตอรี่ ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต่ำกว่ารถยนต์ทั่วไป ไม่มีช่องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานภายนอก
3) รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดปลั๊กอิน (Plug-in Hybrid Electric Vehicle: PHEV) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนามาจากแบบไฮบริด แต่มีช่องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานภายนอกได้สามารถวิ่งได้ระยะทางที่ไกลกว่าแบบไฮบริด
4) รถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle: FCEV) เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากการติดตั้งเซลล์เชื้อเพลิง (fuel cell) ที่สามารถผลิตไฟฟ้าได้โดยตรงจากการใช้แก๊สไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อน
10 ข้อควรรู้ก่อนขับรถยนต์ EV
1. ชิ้นส่วนรถยนย์น้อยกว่ารถปกติจึงเบา และดูแลได้ง่ายกว่า
2. ระยะทางวิ่งขึ้นกับความจุแบตเตอรี่แต่ละคัน อย่างน้อบ 160 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง
3. ชาร์จไฟบ้านได้เลย แต่ต้องติดตั้งอุปกรณ์สำหรับการชาร์จก่อน
4. การชาร์จนอกบ้านมีค่าบริการตั้งแต่ 50 - 110 บาทต่อ 1 ชั่วโมง
5. ค่าไฟ รถ EV จะถูก และ ผันผวนน้อย กว่าน้ำมันเชื้อเพลิง
6. ระยะเวลาชาร์จไฟเป็นชั่วโมงเมื่อเทียบกับการเติมน้ำมันในเวลาไม่กี่นาที
7. รถ EV เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในแง่ของเสียง และมลพิษ
8. บ้านเราน้ำท่วมบ่อย แต่รถ EV ดีไซน์ให้มารองรับการขับน้ำท่วมได้ในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
9. รถ EV มีระบบตัดไฟที่เอื้ออำนวยต่อความปลอดภัยมากกว่ารถปกติ
10. ราคารถ EV ในอนาคตจะลดลงเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้น และได้รับการส่งเสริมจากรัฐที่เหมาะสม
ข้อดีและข้อเสียของรถยนต์ไฟฟ้ามีอะไรบ้าง?
ข้อดีของรถระบบEV
1.) ปล่อยมลภาวะน้อยกว่ารถที่ใช้น้ำมัน
รถยนต์ไฟฟ้านั้นจะทำงานด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ทำให้ไม่มีการปล่อยไอเสียหรือก๊าซเรือนกระจกออกมาและไม่สร้างมลพิษ ต่างจากรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อน ซึ่งการสันดาบภายในเครื่องยนต์ก่อให้เกิดมลพิษขึ้น
2.) ประหยัดค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง
เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้านั้นไม่มีเครื่องยนต์ จึงไม่ต้องใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ ซึ่งพลังงานที่จะใช้ในการขับเคลื่อนก็คือ “ไฟฟ้า” เราสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้เองที่บ้านโดยไม่ต้องเติมน้ำมัน
3.) เครื่องยนต์เงียบ
นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยลดมลพิษทางอากาศแล้ว ยังสามารถช่วยลดมลพิษทางเสียงอีกด้วย เนื่องจากการทำงานขอมอเตอร์ไฟฟ้านั้น มีเสียงที่เงียบกว่าเครื่องยนต์มาก
4.) ค่าการบำรุงรักษาเครื่องยนต์กับเกียร์
เมื่อเปลียนระบบขับเคลื่อนมาเป็นระบบไฟฟ้า การบำรุงรักษาเครื่องยนต์กับเกียร์ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป อย่างไรก็ตามระบบรถยนต์ไฟฟ้ามีชิ้นส่วนอื่นๆที่เพิ่มเติมเข้ามาเช่น มอเตอร์ inverter ระบบควบคุมไฟฟ้าหลัก สายไฟ และ แบตเตอรี่ ฯลฯ ดังนั้นค่าบำรุงรักษาอุปกรณ์เหล่านี้อาจจะเพิ่มขึ้นได้
ข้อเสียของรถEV
1.) ระยะทางวิ่งที่จำกัด
ความจุของตัวแบตเตอรี่ไฟฟ้านั้นสามารถพาให้รถวิ่งไปได้ในระยะทางจำกัดซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของแบตเตอรี่ที่ใช้ ดังนั้นหากต้องการวิ่งระยะไกล อาจจะต้องวางแผนเพิ่มเติมเพื่อหาจุดชาร์จไฟ
2.) ใช้เวลาชาร์จนาน
รถยนต์EVจะใช้เวลาในการชาร์จแบตเตอรี่ค่อนข้างนานเมื่อเที่ยบกับรถยนต์ทั่วไปที่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการเติมน้ำมันหรือแก๊ซ
3.) จุดชาร์จ
ปัจจุบันจุดชาร์จไฟฟ้าสำหรับรถEV ยังไม่ครอบคลุมทั่วถึงมากสักเท่าไหร่ และไม่ได้หาง่ายมากนัก ทำให้วางแผนการเรื่องการชาร์จไฟในการเดินทางระยะไกล
4.) การบำรุงรักษา
รถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยยังถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่มาก อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อที่บุคคลากรทางสายยานยนต์จะเริ่มเรียนรู้เรื่องการบำรุงรักษาระบบต่างๆ และ การควบคุมค่าใช้จ่ายๆต่างๆ ในการบำรุงรักษา
5.) การจัดขยะพิษจากแบตเตอรี่
จริงอยู่ที่รถยนต์ไฟฟ้าจะช่วยในการลดมลภาวะทางอากาศ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ แบตเตอรี่ที่ติดตั้งอยู่ในรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันมีอายุการใช้งานที่จำกัด การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย คำถามที่เกิดขึ้นคือ การกำจัดแบตเตอรี่ที่เสื่อมสภาพไปแล้วนั้นแต่ละประเทศมีมาตรการอย่างไร ในปัจจุบันยังไม่มีมาตรการที่ชัดเจน ในการกำจัดแบตเตอรี่ที่เป็นขยะพิษเหล่านี้ซึ่งก็ยังเป็นความท้าทายต่อไปที่เราจะต้องหาทางออก
สนใจทำประกันนึกถึง MNR Insurance Broker
ยินดีให้คำปรึกษาบริการ 24 ชั่วโมง โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ 085-052-4444
ขอขอบคุณข้อมูลจาก:
www.sciplanet.org
www.thaidrivetrain.com
www.krungsriauto.com
18 ม.ค. 2568