ระวัง!! หน้าฝนกับโรคไข้เลือดออก

Last updated: 27 ก.ค. 2566  |  271 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ระวัง!! หน้าฝนกับโรคไข้เลือดออก

 
โรคไข้เลือดออกเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย ต้องอาศัยการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็ว เฝ้าระวังผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดและให้การรักษาอย่างเหมาะสม โรคนี้พบบ่อยในฤดูฝน เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกีซึ่งมี 4 ชนิดและมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กโต วัยรุ่น และผู้ใหญ่อายุน้อย

แต่หากร่างกายติดเชื้อจากสายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งไปแล้ว ร่างกายจะสร้างภูมิต้านทานสายพันธุ์นั้นขึ้นมา หมายความว่า เราจะไม่ติดเชื้อจากสายพันธุ์นั้นอีกไปตลอดชีวิต แต่ยังมีโอกาสติดเชื้อจากสายพันธุ์อื่นได้

 

สาเหตุของโรคไข้เลือดออก


โรคไข้เลือดมักระบาดในหน้าฝน เมื่อมียุงลายเพศเมียไปกัดคนที่มีเชื้อไวรัส เชื้อจะเข้าสู่กระเพาะของยุงและเข้าไปอยู่ในเซลล์บริเวณผนังกระเพาะและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นจะเดินทางเข้าสู่ต่อมน้ำลายของยุงที่พร้อมจะเข้าสู่คนที่ถูกกัดต่อไปเชื้อไวรัสจะมีระยะฟักตัวในยุงประมาณ 8-12 วัน เมื่อยุงตัวนั้นกัดคนอื่นก็จะปล่อยเชื้อไวรัสไปยังผู้ที่ถูกกัดต่อไป เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจนผ่านระยะเวลาฟักตัวนาน 5-8 วัน (สั้นที่สุด 3 วัน - นานที่สุด 15 วัน) หลังจากนั้นจะมีอาการเหมือนไข้หวัด คือ มีไข้ ตัวร้อน ไอ คลื่นไส้ เวียนหัว จึงอาจทำให้เกิดการวินิจฉัยผิดพลาดได้ในกรณีที่โรคยังไม่ถึงระยะลุกลาม 

     ดังนั้นเมื่อพบผู้ป่วยที่มีอาการคล้ายกับไข้หวัด แพทย์จึงมักสั่งให้ตรวจเลือดหาเชื้อไข้เลือดออกและไข้หวัดใหญ่  

 

อาการของโรคไข้เลือดออก 

อาการของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมีความรุนแรงต่างกัน แต่อาการที่เด่นชัดคือ 

 

  • ผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูงประมาณ 2-7 วัน ส่วนใหญ่ไข้จะสูงเกิน 38.5 องศาเซลเซียส หรืออาจสูงถึง 40-41 องศาเซลเซียส โดยอาจเกิดขึ้นได้อย่างเฉียบพลัน ในบางรายอาจมีอาการชักเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติการชักมาก่อน
  • ผู้ป่วยจะมีอาการเลือดออก พบบ่อยที่สุดบริเวณผิวหนัง โดยจะพบว่า มีเส้นเลือดเปราะและแตกง่ายร่วมกับมีจุดเลือดออกเป็นจุดเล็ก ๆ กระจายอยู่เต็มตามแขน ขา ลำตัว และรักแร้ ทั้งนี้อาจมีเลือดดำ หรือเลือดออกตามไรฟันร่วมด้วย สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการขั้นรุนแรง อาจมีอาการอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ สำหรับอาการเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนใหญ่จะพบร่วมกับภาวะช็อกในผู้ป่วยที่มีการช็อกอยู่นาน
  • ผู้ป่วยจะมีอาการตับโต เมื่อกดจะรู้สึกเจ็บ โดยส่วนใหญ่จะพบว่าผู้ป่วยมีอาการตับโต ในช่วงวันที่ 3-4 นับตั้งแต่เริ่มมีอาการ
  • ผู้ป่วยจะมีภาวะระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกอาจจะมีอาการรุนแรง หรือเรียกว่า "ภาวะช็อก" เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด หรือช่องท้อง เกิดภาวะช็อกจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ (Hypovolemic Shock) ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อม ๆ กับไข้ที่ลดลงอย่างรวดเร็ว 


ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะมีอาการรุนแรงในช่วง 3-5 วัน หลังได้รับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นอาการอาจจะทุเลาลงไประยะหนึ่งและมีอาการรุนแรงขึ้นมาอีก จนอาจถึงขั้นช็อกและเสียชีวิตได้ แต่หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็สามารถหายจากโรคได้ภายในไม่กี่วัน


สำหรับช่วงเวลาที่ผู้ป่วยเกิดอาการช็อกนั้นจะขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ด้วยเช่นกัน อาจจะเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 หรือวันที่ 8 ของวันที่ป่วย ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจจะมีอาการแย่ลง โดยเริ่มมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเริ่มเย็น ชีพจรเบา และความดันโลหิตมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

            จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นว่า อาการของผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกและไข้หวัดนั้นใกล้เคียงกันมาก จึงทำให้ผู้ป่วยและคนรอบข้างชะล่าใจ เนื่องจากคิดว่าเป็นแค่ไข้หวัดธรรมดา 

กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งก็เมื่อมีอาการเลือดออกมากผิดปกติ มีไข้ อาเจียน ปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด มือ เท้าเย็น ตาลาย เหงื่อออกมาก หากอาการเหล่านี้เกิดขึ้นในช่วงที่ไข้ลด ถือเป็นสัญญาณอันตรายต้องรีบนำผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วนเพราะอาจช็อกหมดสติได้

               ดังนั้นทางที่ดีเมื่อพบว่า ตนเองมีอาการป่วยไข้ อย่านิ่งนอนใจให้รีบมาพบแพทย์ หรือถ้าหากรับประทานยาแล้วอาการไม่ทุเลาลงแต่กลับมีไข้สูง ให้รีบเช็ดตัวผู้ป่วยเพื่อลดไข้ และรับประทานยาพาราเซตามอล จากนั้นให้รีบมาพบแพทย์เพื่อรักษาต่อไป 

 


การรักษา


การดูแลรักษาเบื้องต้นผู้ป่วยไข้เลือดออกส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรงและสามารถให้การดูแลรักษาที่บ้านได้ ควรนำผู้ป่วยมาพบแพทย์ทุก 1-2 วันเพื่อติดตามอาการ การดูแลผู้ป่วยประกอบด้วย การลดไข้ด้วยการเช็ดตัวและกินยาลดไข้ รับประทานอาหารอ่อน และดื่มน้ำให้เพียงพอ ผู้ป่วยที่มีอาการโดยทั่วไปแย่ลงโดยเฉพาะเมื่อไข้ลดลง เช่น ซึม มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาเร็ว กระสับกระส่าย ปวดท้องรุนแรง อาเจียนเป็นเลือด ต้องรีบไปโรงพยาบาล
      การรักษาในโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่ดื่มน้ำได้ไม่เพียงพอ ปวดท้องหรืออาเจียนมาก มีภาวะเลือดข้น มีเลือดออกในกระเพาะอาหาร หรือมีภาวะช็อก ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาล

 


การป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงไม่ให้ยุงกัด ทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายและลูกน้ำ
  • วัคซีนไข้เลือดออก แนะนำในเด็ก (อายุ 9 ปีขึ้นไป) และผู้ใหญ่ โดยเฉพาะคนที่เคยติดเชื้อไวรัสเดงกีมาก่อนเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำซึ่งมักมีอาการรุนแรง
  • หากมีอาการน่าสงสัย ควรรีบพบแพทย์

สนใจทำประกัน MNR Insurance Broker ยินดีให้คำปรึกษาบริการ 24 ชั่วโมง โทรสอบถามข้อมูลได้ที่ 085-052-4444

สนใจทำประกันนึกถึง MNR Insurance Broker

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.rama.mahidol.ac.th/

                          https://www.si.mahidol.ac.th/

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้