จุดเปลี่ยนรถไฟฟ้าที่จะมาโค่นรถน้ำมันอีกครั้ง!? ทำไมถึงหายไปร่วม100 ปี!? ประวัติ รถไฟฟ้า VS รถน้ำมัน

Last updated: 31 พ.ค. 2568  |  47 จำนวนผู้เข้าชม  | 

จุดเปลี่ยนรถไฟฟ้าที่จะมาโค่นรถน้ำมันอีกครั้ง!? ทำไมถึงหายไปร่วม100 ปี!? ประวัติ รถไฟฟ้า VS รถน้ำมัน

 

        จากประวัติศาสตร์ของรถยนต์ไฟฟ้าที่สมัยก่อนรถยนต์ไฟฟ้าได้เกิดขึ้นมาก่อนรถยนต์น้ำมันและได้รับความนิยมมากกว่า จึงเกิดคำถามเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงหายไปและไม่มีการนำมาใช้จนถึงปัจจุบันรวมทั้งสาเหตุที่รถยนต์น้ำมันมีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลกร่วม 100 ปี และจุดเปลี่ยนที่ปัจจุบันรถยนต์ไฟฟ้าจะกลับมาอีกครั้ง เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะบอกเล่าถึงประวัติศาสตร์ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน

 


         ยานพาหนะที่มนุษย์ใช้จะเป็นแรงงานคนและสัตว์เพื่อเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปที่จุดหนึ่ง ซึ่งมีการใช้ทั้งคนและสิ่งของเพื่อให้เกิดการเคลื่อนที่ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ในยานพาหนะ เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม คือ การที่มนุษย์คิดค้นเทคโนโลยีในการทุ่นแรงคน เพื่อทดแทนการใช้ยานพาหนะแบบเดิมครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1769 เรียกว่า เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 1 เกิดเทคโนโลยีที่เป็นหัวใจสำคัญ คือ เครื่องจักรไอน้ำ (Steam Engine) เป็นการต้มน้ำและนำไอน้ำมาเกิดเป็นแรงดัน เพื่อนำแรงดันมาขับเคลื่อน

 


         เครื่องจักไอน้ำ มีข้อดีในเรื่องของมีแรงบิดและกำลังที่ดี ส่วนข้อเสีย คือ ให้ความเร็วที่ต่ำ ซึ่งในช่วงแรกมีการนำมาใช้กับเครื่องจักรในอุตสาหกรรมในการผลิต สำหรับรถไฟในยุคแรก ๆ มีการใช้เครื่องจักรไอน้ำที่จะต้องคอยเติมน้ำและเชื้อเพลิงเข้าไป หลังจากนั้นนำมาย่อขนาดลงเพื่อใช้ในยานพาหนะ หรือรถยนต์เครื่องจักรไอน้ำ แต่เมื่อใช้รถยนต์เครื่องจักรไอน้ำในการเดินทาง จำเป็นที่จะต้องคอยดู การเติมน้ำ ฟืน เชื้อเพลิง และถ่านหิน เพื่อให้เครื่องจักรทำงาน รวมทั้งการติดเครื่องต้องใช้เวลานานพอสมควร แสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดในการใช้เครื่องจักรไอน้ำจนกระทั้งในปี 1870 เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 2  ซึ่งถือว่าเป็นยุคแรกที่เริ่มใช้ไฟฟ้าโดยนายนิโคลา เทสลา ซึ่งเป็นคนที่คิดค้นเรื่องของไฟฟ้า จากการที่ไฟฟ้าอยู่ในธรรมชาติ จึงมีการนำไฟฟ้ามาใช้งาน

 


         ในยุคนั้นเกิดสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ อาทิ ด้านอุตสาหกรรมที่นำพลังานไฟฟ้ามาใช้ การเกิดเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ และมีการใช้มอเตอร์ ประกอบกับในยุคนั้นมีคนที่คิดค้นเรื่องยานพาหนะที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักซึ่งเป็นเรื่องใหม่สำหรับ ณ เวลานั้นนอกจากนี้ในช่วงยุคนั้นได้เกิดบุคคลอัจฉริยะหลายท่าน โดยที่บุคคลที่รู้จักกันดี คือ เซอร์ทอมัส แอลวา เอดิสันเป็นผู้คิดค้นหลอดไฟ และทาง เซอร์ทอมัส แอลวา เอดิสัน ยังให้ความสนใจคิดค้นเรื่องอื่นที่ใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า

 


          เมื่อเกิดพลังงานไฟฟ้าขึ้นมา มีคนประดิษฐ์รถยนต์ไฟฟ้าออกมาในปี 1830 ซึ่งยังเป็นเพียงแค่แนวความคิดแต่หลังจากนั้นในปี 1897 มีการเกิดรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ครั้งแรกขึ้นมาการเปลี่ยนแปลงจากรถยนต์เครื่องจักรไอน้ำ โดยมี 2 ตัวเลือก คือ รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์น้ำมัน ซึ่งในยุคนั้นรถยนต์น้ำมันได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่ได้เป็นที่นิยม เพราะว่าเวลาสตาร์ทรถจะต้องนำก้านไปหมุนที่หน้ารถ เพื่อให้ลูกสูบหมุนแล้วทำการจุดระเบิด ซึ่งจะเกิดควัน กลิ่น และเสียงที่ดังออกมา ดังนั้นทางเลือกอย่างรถยนต์ไฟฟ้าจะสามารถตอบโจทย์ได้มากที่สุด ทำให้ยุคนั้นคนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลาย เนื่องจากว่าไม่เกิดเสียงดัง ไม่มีกลิ่นเหม็นเท่ากับรถยนต์น้ำมัน จึงเกิดบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ออกมาจำนวนมาก และสามารถเรียกได้ว่าในปลายปียุค 1800 – ช่วงปี 1900 ถือว่าเป็นยุคทองของรถยนต์ไฟฟ้า ที่รถยนต์น้ำมันยังไม่ได้รับความนิยม จากเรื่องของความยุ่งยากในการหมุนสตาร์ท รวมทั้งเกิดเสียงดังและไอเสียที่มีกลิ่นเหม็น จึงไม่สามารถสู้กับรถยนต์ไฟฟ้าได้บริษัทที่ทำรถยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์เจ้าแรกที่ทำออกมา คือ Columbia Motor Carriage Company ก่อตั้งในปี 1897 เป็นบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันที่มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าออกมา โดยเน้นกลุ่มที่ใช้งานในเมอง เพราะว่าในยุคที่มีไฟฟ้าขึ้นมา ซึ่งความเจริญจะอยู่แค่ในเมืองที่มีไฟฟ้าและการเดินทางจะเน้นสัญจรในเมืองเป็นหลัก

 

         ดังนั้นคนจึงนิยมใช้รถยนต์ไฟฟ้าภายในเมือง ซึ่งสามารถเดินทางได้ในระยะทาง 60 -80 กิโลเมตร ต่อ 1 การชาร์จ และสถานีชาร์จสามารถหาได้ง่าย ทาง Columbia Motor Carriage Company สามารถทำรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความหลากหลายรูปแบบและขนาด รวมทั้งสามารถตอบโจทย์การใช้งานสำหรับผู้หญิงค่ายที่สอง คือ Baker Electric Vehicle Company ซึ่งเป็นค่ายรถยนต์สัญชาติอเมริกัน ที่ก่อตั้งในช่วงประมาณยุคต้นปี 1900 โดยสิ่งที่ทาง Baker Electric Vehicle Company ทำจะแตกต่างจาก Columbia Motor Carriage Company คือ การพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าให้ดีมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชุดมอเตอร์ และชุดคอนโทรลที่จะนำมารวมในชุดเดียวกัน รวมทั้งยังมีเทคโนโลยี Regenerative Braking หรือ สามารถปั่นไฟฟ้ากลับได้ โดยเวลาที่ยกคันเร่งจะปั่นไฟฟ้ากลับแล้วชะลอความเร็วลง หลังจากนั้นจะนำกลับมาชาร์จที่ตัวแบตเตอรี่ ส่งผลให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลมากขึ้น และเทคโนโลยีนี้มีการนำมาใช้ในรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน

         นอกจากนี้ยังมีอีกหลาย ๆ ค่ายที่ทำรถยนต์ไฟฟ้าออกมา ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าสามารถขายได้ที่จำนวน 30,000 ต่อปี หากเปรียบเทียบในเรื่องของราคา ส่วนราคาของรถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 – 3,000 USD ถือว่าเป็นราคาที่แพง ซึ่งรถยนต์น้ำมันมีราคาจะอยู่ที่ประมาณ 800 – 1,000 USD แต่คนยังคงเลือกหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าจากความสะดวกสบายในการใช้งาน ในขณะเดียวกันรถยนต์น้ำมันยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

 


         จากยุคของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความเฟื่องฟู มีคนที่อยากให้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถไปต่อได้ โดยจะต้องมีการพัฒนาในเรื่องของแบตเตอรี่ ที่ในช่วงนั้นแบตเตอรี่ยังคงเป็นเทคโนโลยีตะกั่วกรด และคนที่เห็นว่าจะต้องมีการพัฒนาแบตเตอรี่ คือ เซอร์ทอมัส แอลวา เอดิสันการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่เริ่มตั้งแต่ปี 1901 โดยมีการทำแบตเตอรี่ตัวใหม่ที่ใช้นิกเกิลไอออนแทนตะกั่วกรด หรือบางคน เรียกว่า แบตเตอรี่เอดิสัน ซึ่งมีคนที่เข้าร่วมในการวิจัย คือ นายเฮนรี ฟอร์ด เป็นนักธุรกิจที่เล็งเห็นว่ารถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมอย่างมากถือว่าเป็นโอกาสที่ดี จึงร่วมมือกับทาง เซอร์ทอมัส แอลวา เอดิสัน สำหรับการพัฒนาเรื่องแบตเตอรี่ หลังจากที่ นายเฮนรี ฟอร์ด ใช้เวลาเข้าร่วมการพัฒนาแบตเตอรี่ของ เซอร์ทอมัส แอลวา เอดิสัน มาระยะหนึ่ง ในยุคที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังเฟื่องฟู ได้สังเกตเห็นถึงข้อจำกัดบางอย่างที่ต่อให้การพัฒนาแบตเตอรี่ออกมาได้ดีเพียงใด จะไม่สามารถลดต้นทุนในการผลิตแบตเตอรี่ลงได้ ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ายังคงมีราคาที่แพงรวมทั้งระยะทางในการวิ่งที่จำกัด อาจทำให้รถยนต์ไฟฟ้าไม่สามารถไปต่อได้ในอนาคตข้างหน้า แต่เมื่อหันกลับมามองในส่วนของรถยนต์น้ำมัน ที่มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีการสตาร์ทที่มีมอเตอร์ที่ใช้สำหรับการสตาร์ทที่ไม่จำเป็นต้องใช้ก้านไปหมุนที่หน้ารถ การพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีเสียงที่เงียบมากขึ้น มียางแท่นเครื่องทำให้ตัวรถสั่นสะเทือนน้อยลง และสามารถพัฒนาระบบไอเสียที่มีควันกลิ่นเหม็นดีมากขึ้น ดังนั้นเมื่อมองภาพรวมจะเห็นได้ว่ารถยนต์น้ำมันน่าจะไปได้ดีกว่า ทำให้นายเฮนรี ฟอร์ด จึงค่อยๆ ออกมาจากรถยนต์ไฟฟ้า

 

 


         อย่างที่รู้กันว่าทาง นายเฮนรี ฟอร์ด เป็นเจ้าพ่อปฏิวัติวงการรถยนต์ โดยผลิตรถยนต์น้ำมันราคาถูกที่ทำให้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย จากการผลิตจำนวนมาก คือ FORD MODEL T ในปี 1908 – ปี 1920 ทาง Ford ได้เปิดตัวรถยนต์น้ำมันเครื่องยนต์เบนซิน คือ MODEL T เพื่อให้คนหันมาใช้รถยนต์น้ำมันมากขึ้น หากเปรียบเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าที่มีข้อจำกัด และราคารถยนต์น้ำมันขายจะอยู่ที่ 825 USD ถูกมากกว่าราคาของรถยนต์ไฟฟ้า ที่มีราคาอยู่ที่ประมาณ 1,000 – 3,000 USD ในช่วงแรกคนยังมีความกังวลในการใช้รถยนต์น้ำมัน แต่มีจุดเปลี่ยนที่ทำให้คนหันมาใช้รถยนต์น้ำมันมากขึ้น จากการขยายความเจริญไปยังเมืองต่าง ๆ มากขึ้น และมีการขุดพบน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันถูกลงอย่างมากทำให้คนมองเห็นว่าปั๊มน้ำมันสามารถหาได้ง่าย และเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนเสาไฟฟ้าเพื่อตั้งเครื่องชาร์จจะหาได้ยากกว่า ดังนั้นสถานีน้ำมันจะตอบโจทย์ได้มากกว่า


         นอกจากนี้ รถยนต์น้ำมันสามารถวิ่งได้ในระยะทางที่ไกลมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้าถึง 2 -3 เท่า ณ เวลานั้นส่งผลให้คนยิ่งหันมาใช้รถยนต์น้ำมันมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทาง Ford มีการผลิตรถยนต์น้ำมันจำนวนมากและพัฒนากระบวนการผลิตให้ดีมากยิ่งขึ้น ยิ่งส่งผลให้ราคารถยนต์น้ำมันถูกลงกว่าเดิมจากราคาที่ 800 ลงมาอยู่ที่ 285 USD ต่อคัน ส่งผลให้คนมาใช้รถยนต์น้ำมันหลังจากช่วงปี 1920 ยอดขายของรถยนต์ไฟฟ้าจึงค่อย ๆ ลดลง จนเหลือแค่กลุ่มใช้เฉพาะผู้หญิงและสุดท้ายก็ค่อย ๆ หายไปในที่สุด

 

 


จุดเปลี่ยนที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลับมา


          รถยนต์ไฟฟ้ากลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง เนื่องจากในช่วง 100 ปี ที่ใช้รถยนต์น้ำมันได้ทิ้งสิ่งหนึ่งเอาไว้ คือ เรื่องของมลภาวะ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมลพิษทั้งทางอากาศและทางน้ำซึ่งในหลาย ๆ ประเทศมีการรณรงค์จะต้องใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าจึงเป็นคำตอบรวมทั้งเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในปัจจุบันมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจากของเดิมที่ใช้นิกเกิลไอออน มีการเปลี่ยนมาเป็นลิเธียมไอออนเรียบร้อยแล้ว โดยที่ยังไม่ได้กล่าวถึง ลิเธียมแบบ NMC และลิเธียมไอออนฟอสเฟต (LFP)

 

 


บุคคลที่ทำให้รถยนต์ไฟฟ้ากลับมาได้ คือ นายอีลอน มัสก์ เจ้าของแบรนด์ TESLA


          ในความจริงมีหลายค่ายที่พยายามทำรถยนต์ไฟฟ้าออกมา อาทิ GM และ NISSON แต่ไม่สามารถทำออกมาเชิงพาณิชย์ในจำนวนมากได้ จากการที่ไม่สามารถกดเรื่องของต้นทุนในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะเรื่องของแบตเตอรี่ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทาง นายอีลอน มัสก์ คิดอยู่เสมอว่าถ้าต้องการให้คนสามารถเข้าถึงรถยนต์ไฟฟ้าได้จำเป็นจะต้องผลิตในปริมาณมากเท่านั้น เพื่อจะกดต้นทุนของแบตเตอรี่ เพราะเทคโนโลยีของแบตเตอรี่ไม่มีความน่ากังวลเมื่อเทียบกับสมัยก่อน จึงได้มีการเปิดตัวรถ Tesla ตั้งแต่ปี 2008 คือ Tesla Roadster โดยจะเป็น Tesla Model S และ Tesla Model X ซึ่งทั้ง 2 Model ยังไม่สามารถทำให้เกิดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจำนวนมากได้ แต่ถือว่าเป็น Model ที่ลองตลาดเฉพาะกลุ่ม สำหรับผู้ที่มีความสามารถในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้านำมาใช้ก่อน

 


         จนกระทั่งปี 2017 เป็นจุดเปลี่ยนอย่างแท้จริงที่ได้มีการเปิดตัว Tesla Model 3 ที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าขนาดกลาง มีราคาที่สามารถเข้าถึงได้และใกล้เคียงกับราคาของรถยนต์น้ำมันโดยจะแพงมากกว่าประมาณ 25 -30% แต่เมื่อมีการสนับสนุนจากภาครัฐ ทำให้ราคาเทียบเท่ากับรถยนต์น้ำมัน ส่งผลให้คนหันมาใช้ Tesla Model 3 จำนวนมาก ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าจึงได้รับความนิยมมากขึ้น และเมื่อมีความต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นจะต้องทำการผลิตในปริมาณที่มากขึ้น ซึ่งช่วยให้ต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ถูกลงอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ที่ 100 USD ต่อ 1 kWh หรือประมาณ 3,000 บาทเท่านั้น และในอนาคตราคาต้นทุนจะถูกลงมากกว่าเดิม จะเห็นได้ว่าจากช่วงครบรอบ 100 ปี ตั้งแต่ปี 1920 จนกระทั่งปัจจุบันที่รถยนต์ไฟฟ้ากลับมาประมาณปี 2017 และนับใช้จริงเมื่อปี 2020 จาก 100 ปี ที่รถยนต์ไฟฟ้าหายไปและได้กลับมาอีกครั้ง มาจากจุดเปลี่ยนในเรื่องแบตเตอรี่ เรื่องมลภาวะ การบังคับใช้พลังงานสะอาดมากขึ้นจากที่รถยนต์ไฟฟ้าไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว และรถยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งสำหรับการไปสู่อนาคตข้างหน้าไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีในเรื่องของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพราะว่าทาง Tesla ไม่ได้กล่าวถึงพลังงานสะอาดเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงเรื่องของซอฟต์แวร์ มีระบบ AI รถขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะแตกต่างจากรถยนต์ไฟฟ้าเมื่อร้อยปีก่อน

 


         สรุป 100 ปีที่หายไปของรถยนต์ไฟฟ้าที่จะกลับมาโค่นรถยนต์น้ำมันอีกครั้ง จากจุดเปลี่ยนที่ในหลาย ๆ ประเทศหันมาสนใจเรื่องของพลังงานสะอาดจากสภาวะโลกร้อน เป็นผลมาจากการใช้รถยนต์น้ำมันใน 100 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นในหลาย ๆ ประเทศควรหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาด อย่างที่สองปัจจัยเรื่องของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ในปัจจุบันมีประสิทธิภาพมากกว่า 100 ปีที่ผ่านมา ที่สามารถวิ่งได้ในระยะทางไกลมากขึ้นและใช้เวลาชาร์จเร็วขึ้น รวมทั้งจะมีการพัฒนาต่อยอดอย่างต่อเนื่อง อย่างที่สามรถยนต์ไฟฟ้าเป็นฐานของรถขับเคลื่อนแบบไร้คนขับแบบ 100% ในอนาคตข้างหน้า ซึ่งในขณะนี้ เราอยู่ในช่วงยุคการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ในรอบ 100 ปี

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : www.evguarantee.net

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้